ข่าวด่วน ทันเหตุการณ์ เศรษฐกิจ การลงทุน หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ไอที-เทคโนฯ รถยนต์ ท่องเที่ยว ต่างประเทศ รวดเร็วสดใหม่ทุกวัน
CKPower ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกรับผลกระทบจากเอลนีโญ คาดไตรมาส 3 จะดีขึ้นจากไตรมาส 2 ตามฤดูกาลน้ำหลาก พร้อมวางแผนรับมือภัยแล้งอย่างเป็นระบบ ย้ำเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเป็น 93%
นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์: CKP) หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีเป้าหมายที่จะมีระดับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำที่สุดรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ปรากฎการณ์เอลนีโญ (El Niño) ทำให้สภาพภูมิอากาศโลกแปรปรวน เกิดภัยแล้งเป็นวงกว้าง รวมถึงประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 และปริมาณน้ำไหลผ่านโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้ผลการดำเนินงานของ CKPower ในไตรมาสที่ 2/2566 และครึ่งปีแรกของปีนี้ลดลง โดยบริษัทฯ ได้ประกาศความพร้อมจ่ายไฟฟ้าภายใต้หลักความระมัดระวังและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำน้อย โดยคาดว่าในไตรมาสที่ 3/2566 ผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ 2/2566 จากปัจจัยตามฤดูกาลน้ำหลาก
ในไตรมาส2 ปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,566 ล้านบาท ลดลง 93 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,659 ล้านบาท และมีรายได้รวมงวด 6 เดือนแรกของปีนี้จำนวน 5,251 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวด 6 เดือนแรกของปีที่แล้ว 49 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.9 ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจาก รายได้ค่าบริหารโครงการและรายได้อื่นที่เกี่ยวข้องที่เพิ่มขึ้น ส่วนกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทในไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของปี 2566 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยในไตรมาส2 ปีนี้ CKPower มีกำไร 1.8 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 864 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 99.8 ขณะที่ 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนสุทธิจำนวน 103 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 903 ล้านบาท
โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในXPCL จากปริมาณการขายไฟฟ้าที่ลดลงตามปริมาณน้ำ และจากค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มดอกเบี้ยโลก ขณะที่ NN2 มีรายได้จากการขายไฟฟ้าลดลงและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากงานซ่อมบำรุงใหญ่ (Major Overhaul) ซึ่งเป็นไปตามแผนการซ่อมบำรุงปกติ ส่วนโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ บางเขนชัย (BKC) มีรายได้ลดลงจากการสิ้นสุดการได้รับ Adder นอกจากนี้ ฐานะการเงินของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่ภาระดอกเบี้ยจ่ายสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดีที่ 0.62 เท่า
“ฤดูแล้งของปีนี้ ถือเป็นอีกปีที่หนักหน่วงเพราะมีสถานการณ์เอลนีโญเข้ามาสมทบ แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้ด้วยดี เนื่องจากบริษัทมั่นใจว่าในไตรมาส 3 จะมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลน้ำหลาก อีกทั้งได้มีการวางแผนและเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือเรื่องภัยแล้งอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้บริษัทยังได้ติดตามสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ CKP
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส2 ปี 2566 ร้อยละ 83 ของหนี้สินระยะยาวตามงบการเงินรวมของ CKP เป็นหุ้นกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ และต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.50 และในส่วนของ XPCL ซึ่งเป็นบริษัทร่วมก็มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยผ่านการทำ Interest Rate Swap และการออกหุ้นกู้ เพื่อบริหารจัดการหนี้สินระยะยาวให้มีสัดส่วนดอกเบี้ยคงที่และดอกเบี้ยลอยตัวที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง”
นายธนวัฒน์ เพิ่มเติมว่า ในปี2566 CKPower ได้ตั้งเป้าหมายปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 และ 2 ไม่เกิน 723,674 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 CKPower ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 354,851 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) ซึ่งถือว่าดีกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้
และคาดว่าในครึ่งปีหลังจะบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ไม่เกินเป้าหมายหรือดีกว่าเป้าหมาย โดยบริษัทมีโครงการลดการใช้พลังงาน โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรภายในองค์กรและมีแผนที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาทดแทนรถยนต์เดิม และจะเพิ่มการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนภายในองค์กรจากเดิม88% เป็น 92% ภายในปีนี้
เกี่ยวกับ‘บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower’
บริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานประเภทต่างๆ3 ประเภท จำนวน 14 แห่ง รวมขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 3,627 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย (1) โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 3 แห่ง คือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 ภายใต้ บริษัท ไฟฟ้า น้ำงึม 2 จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 46% (ถือผ่าน บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 615 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ภายใต้ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 42.5% ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1,285 เมกะวัตต์ และ โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ หลวงพระบาง
ภายใต้ บริษัท หลวงพระบางพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น50.0% ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1,460 เมกะวัตต์ (2) โรงไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น 2 แห่ง ภายใต้ บริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 65% ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 238 เมกะวัตต์ และ (3) โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 9 แห่ง ภายใต้ บริษัท บางเขนชัย จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 100% จำนวน 7 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 15 เมกะวัตต์ ภายใต้บริษัท นครราชสีมา โซล่าร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 30% จำนวน 1 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 6 เมกะวัตต์ และภายใต้บริษัท เชียงราย โซล่าร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 30% จำนวน 1 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 8 เมกะวัตต์
บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือCKPower หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดและมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรที่ต่ำที่สุดในภูมิภาค ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนจากเดิม 93% เป็น 95% หรือ 4,800 เมกะวัตต์ ภายในปี พ.ศ. 2567 นอกจากนี้ CKPower ยังสนับสนุนเป้าหมายที่มุ่งเน้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2593 ด้วยการพัฒนานวัตกรรมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด
โดยล่าสุดในปี2565 โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในเครือของกลุ่มบริษัท CKPower สามารถผลิตไฟฟ้าสะอาดส่งให้ประเทศไทยได้ถึง 9,767 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) หรือ 4.5% ของไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศ เทียบเท่ากับการหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และในปี 2565 CKPower ได้รับการอันดับเครดิตองค์กรจากทริสเรตติ้ง ที่’A’แนวโน้มอันดับเครดิต ‘คงที่’ และได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
โยธินบูรณะ รุ่น45(ย.บ.45) เพื่อนกันตลอดไป
พล.ต.พลกฤต สุขมาก ผู้ชำนาญการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมงานเลี้ยงงสรค์ศิษย์เก่าโรงเรียนโยธินบูรณะ รุ่น45(ย.บ.45) โดยมีเพื่อนร่วมรุ่น อาทิ ฉัตรชัย จรูญพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย และรักษาการผู้อำนวยการสำนักงานมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ชูวิทย์ สิทธิกฑิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญสิทธิ ภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ จำกัด ภากร ยังแจ่ม เลขาธิการสมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย(สภท.) และเลขาธิการสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในบรรยากาศมิตรสหายรำลึกความหลังอย่างอบอุ่นครื้นเครง ณ ห้องชมัยมรุเชษฐ์ สโมสรทหารบก วิภาวดี กรุงเทพ
A8010
Click Donate Support Web
0
MTC มาตามนัด Q2/66 พอร์ตสินเชื่อแตะ 132,851 ลบ.เดินหน้าพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืนเคียงคู่สังคมไทย เตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่ อัตราดอกเบี้ย 4.25-4.80% คาดเสนอขายวันที่ 21-23 ส.ค.นี้
บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เดินหน้าตามแผนพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นช่วยเหลือสังคม กระจายการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านสาขากว่า 7,200 แห่งอย่างเท่าเทียม ภายใต้อัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ดันพอร์ตสินเชื่อขยายตัวได้ตามเป้า เผย Q2/66 พอร์ตสินเชื่อแตะระดับ 132,851 ล้านบาท หนุนรายได้ในไตรมาส 2/66 เท่ากับ 6,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.20% กำไรสุทธิ 1,200 ล้านบาท ด้านผู้บริหาร'คุณปริทัศน์ เพชรอำไพ' มั่นใจพอร์ตสินเชื่อปี 66 เติบโต 20% เตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่ อัตราดอกเบี้ย 4.25-4.80% คาดเสนอขายระหว่างวันที่ 21-23 ส.ค.นี้
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)MTC เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ ที่มุ่งเน้นการส่งมอบผลิตภัณฑ์สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Lending) ด้วยมาตรฐานการให้บริการที่เป็นเลิศ คำนึงลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ผ่านการขยายสาขาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนทางเลือก ด้วยต้นทุนทางการเงินที่เป็นธรรมและโปร่งใส ส่งผลให้บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 6,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,200 ล้านบาท
สำหรับ ในงวด6 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้อยู่ที่ 11,671 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.86% และมีกำไรสุทธิ 2,270 ล้านบาท
ปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้รายได้เพิ่มขึ้น เป็นผลอันเนื่องมาจากการขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯมีจำนวนสาขากว่า 7,260 แห่งครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศ จึงทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างมากกว่า 132,851 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25,450 ล้านบาท หรือ 23.70% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมเดินหน้าพัฒนาศักยภาพพนักงานให้พร้อมรับกับความท้าทายการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ
เพื่อรักษาระดับการบริการที่ดีแก่ลูกค้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพลูกหนี้ให้ดีขึ้นเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายพอร์ตสินเชื่อแตะระดับ 2 แสนล้านบาทในปี 2569 และรองรับแผนการปล่อยสินเชื่อในปี 2566 ที่คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20%
ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวันที่ 21 – 23 สิงหาคม 2566 บริษัทฯ คาดว่าจะออกและเสนอขายหุ้นกู้จำนวน 3 ชุด โดยหุ้นกู้ที่ออกในครั้งนี้ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.25% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี 1 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.70% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB+ เช่นเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ระดับ BBB+ แนวโน้ม ‘คงที่’ (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2566
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางให้กับลูกค้าในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรมและโปร่งใส เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ(SDGs) ที่บริษัทมีการปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ได้รับการประเมิน ESG MSCI Index ในปี 2566 ที่ระดับ AA ในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค (Customer Finance) โดยมีระดับที่สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า
รวมถึงได้รับความไว้วางใจจากสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ ในการร่วมลงทุนต่อยอดธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ เป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จ ตลอดจนความเชื่อมั่นที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีต่อแนวคิดการบริหารธุรกิจโดยคำนึงความยั่งยืนของบมจ.เมืองไทยแคปปิตอล
A8010
Click Donate Support Web
ALTโชว์ไตรมาส2/66กวาดรายได้396ลบ.งานโซลาร์รูฟท็อป-บริการโครงข่ายรุ่งแนวโน้มโตต่อเนื่อง
เอแอลที เทเลคอม โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส2/2566กวาดรายได้396ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น56.6%รับอานิสงค์รายได้จากการขายสินค้าเติบโตก้าวกระโดดกว่า427%โดยส่วนใหญ่มาจากงานขายโซล่าร์รูฟท็อปที่เติบโตต่อเนื่อง และธุรกิจให้บริการโครงข่ายเพิ่ม74%ส่งผลมีกำไรสุทธิ16ล้านบาท พร้อมโชว์งานรอรับรู้รายได้กว่า4,275ล้านบาท
นายสมบุญ เศรษฐ์สันติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด(มหาชน)หรือALTเปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส2/2566สิ้นสุดวันที่30มิ.ย.2566บริษัทมีรายได้รวม395.78ล้านบาท เพิ่มขึ้น56.6%จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้252.81ล้านบาทในขณะที่กำไรขั้นต้นรวม57.17ล้านบาทเพิ่มขึ้น24.3%จาก45.97 ล้านบาท
รายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลักๆ มาจากรายได้จากการขายสินค้า124.98ล้านบาท เติบโตขึ้น427.5%จาก23.69ล้านบาท โดยในไตรมาส2/2565รายได้ส่วนใหญ่มาจากงานขายโซล่ารูฟท็อปที่มียอดเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันธุรกิจให้บริการโครงข่ายซึ่งรายได้ประจำ(Recurring Income)และเป็นรายได้หลักในสัดส่วน45.7%ของรายได้รวม ในไตรมาส2/2566มีรายได้181.02ล้านบาทเติบโตขึ้น74.5%จาก103.37ล้านบาทใน ไตรมาส2/2565
อีกทั้ง ในไตรมาส2/2566บริษัทมีการกลับรายการรายจ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
16.33ล้านบาทเนื่องจากบริษัทสามารถเรียกเก็บเงินจากลูกค้าได้ ทำให้รายจ่ายดังกล่าวที่บริษัทเคยตั้งสำรองไว้ได้ถูกกลับรายการ ซึ่งเป็นผลดีต่อกิจการ
รายได้ที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ผลการดำเนินการใน ไตรมาส2/2566 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 16.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.74 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,109% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.33 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2566 บริษัทมีงานในมือ (Backlog)ประมาณ 4,275 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีเงินสดในมือ 222.36 ล้านบาท
Click Donate Support Web
สยามอะเมซิ่งพาร์ค ต้อนรับ'วันแม่แห่งชาติ'จัดโปรฯ AMAZING! MOM เลือกแพ็คเกจเที่ยวสวนน้ำหรือสวนสนุก เพียง 888.- พร้อมชมฟรี! การแสดงเชิดชูพระคุณแม่จากโรงเรียนทั่วกรุงเทพฯ ช้อป ชิม ชิลล์ สินค้าและเมนูเด็ด ที่บางกอกเวิลด์
สยามอะเมซิ่งพาร์ค ชวนฉลองวันหยุดยาวเนื่องในสัปดาห์‘วันแม่แห่งชาติ’12 สิงหาคม 2566 มอบโปรโมชั่นออนไลน์สุดพิเศษ AMAZING! MOM เลือกแพ็คเกจเที่ยวสวนสนุก 2 คน ราคา 888 บาท จากปกติ 1,400 บาท หรือแพ็คเกจเที่ยวสวนน้ำ 3 คน ราคา 888 บาท จากปกติ 1,500 บาท
ซื้อล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ ticket.siamamazingpark.com ได้ตั้งแต่วันนี้-11 สิงหาคม 2566 เลือกเข้าใช้บริการ 1 วัน ระหว่างวันที่ 12-14 ส.ค. 66 จะควงแขนกันมาเป็นคู่แม่ลูก เป็นแก๊งครอบครัว หรือก๊วนเพื่อน ก็เลือกแพ็คที่ชอบ แพ็คที่ใช่ได้เลย (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด) เด็กสูง 101-130 ซม. ซื้อหน้าเคาน์เตอร์ สวนน้ำ ราคา 150 บาท สวนสนุก ราคา 100 บาท เด็กความสูงไม่เกิน 100 ซม.ผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป และผู้พิการ ผ่านประตู เข้าใช้บริการสวนน้ำฟรี
มาเปิดโลกแห่งการผจญภัยสุดสนุกกับเครื่องเล่นมาตรฐานสากลกว่า30 ชนิด และสวนน้ำที่มีทะเลเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก รับรองโดยกินเนสเวิลด์เรคคอร์ พร้อมด้วยเหล่ามาสคอต 2 พี่น้องแมวสยาม ไซ – แอม และผองเพื่อน ที่รอให้การต้อนรับ โดยสวนน้ำเปิดให้บริการ 10.00 - 17.00 น. สวนสนุกเปิดให้บริการ 10.00 - 18.00 น.
โดยเฉพาะในวันเสาร์ที่12 ส.ค. สยามอะเมซิ่งพาร์ค จะมีการจัดกิจกรรม งานวันแม่แห่งชาติ เพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 91 พรรษา ภายในงานจะมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เทิดพระคุณแม่ โดยน้องๆ นักเรียนจากโรงเรียนทั่วกรุงเทพมหานคร กว่า 400 ชีวิต ณ เวทีไซ – แอม ทาวเวอร์ ตั้งแต่เวลา 10:00 น. เป็นต้นไป
อย่าพลาด!! แวะปักหมุด เช็กอิน ถ่ายรูปกับอาคาร และสถาปัตยกรรมอันสวยงาม ที่ได้แรงบันดาลใจและจำลองมาจากแลนด์มาร์คสำคัญๆ ของเมืองบางกอกยุครุ่งเรือง พร้อมเลือกช้อปสินค้าวิสาหกิจชุมชน สินค้าเกรดพรีเมียมทั่วไทยที่ถูกนำมารวมไว้ที่บางกอกเวิลด์ภายใต้คอนเซ็ปต์bangkokworldselected เพื่อเป็นของขวัญของฝากอิ่มอร่อยกับเมนูเด็ดร้านดังถูกใจทั้งครอบครัวในศูนย์อาหารธีมไดโนเสาร์ล้านปีภูเขาไฟลาวา ตั้งแต่เวลา 11.00 – 20.00 น. แดดร่มลมตก เดินช้อปชิลล์ๆ ในบรรยากาศตลาดนัด วันที่ 12 และ 13 ส.ค. ตั้งแต่เวลา 15.00 – 20.00 น.
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเพจออฟฟิเชียล สยามอะเมซิ่งพาร์คhttps://www.facebook.com/siamamazingpark, Line: @siamamazingpark และเพจออฟฟิเชียล บางกอกเวิลด์https://www.facebook.com/bangkokworldofficial
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ฝ่ายประชาสัมพันธ์
พรศรี จันทรขัมมา (เล็ก) โทร.02-105-4294 ต่อ 220 , 090-880-1070
วิลาวัณย์ จรูญรัตนกุล (ลูกเกด) โทร.02-105-4294 ต่อ 299 , 090-972-6354
Click Donate Support Web
กรมบัญชีกลาง ปรับเกณฑ์ขยายสิทธิเบิกจ่ายตรงค่ายารักษาโรคมะเร็ง
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ดำเนินงานภายใต้คณะทำงานพิจารณาแนวทางปรับปรุงและพัฒนาระบบเบิกจ่ายค่ายากลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคมะเร็ง และเภสัชกรเชี่ยวชาญ โดยคณะทำงานฯ มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ปรับปรุงและขยายเงื่อนไขข้อบ่งชี้ในการเบิกจ่ายค่ายารักษาโรคมะเร็งที่ต้องลงทะเบียนเพื่อขออนุมัติเบิกจ่ายในระบบ OCPA เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น ดังนี้
1.1 ปรับปรุงเกณฑ์การตรวจวินิจฉัยสำหรับการเบิกจ่ายค่ายา Trastuzumab และ Pertuzumab ในโรคมะเร็งเต้านม โดยยกเลิกการตรวจยืนยันด้วย FISH หรือ DISH ในกรณีที่มีการตรวจ HER2 เป็น 3+ โดยวิธี Immunohistochemistry ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการตรวจวินิจฉัย และทำให้ผู้ป่วยที่มี HER2 เป็น 3+ มีโอกาสได้ใช้ยาเร็วขึ้น
1.2 ขยายข้อบ่งชี้ในการเบิกจ่ายค่ายา Imatinib ในการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ชนิด GIST สำหรับการใช้เป็นการรักษาเสริมหลังการผ่าตัดที่พบว่ามีโอกาสของการกลับคืนโรคได้สูง และเพิ่มข้อบ่งชี้โรคมะเร็งผิวหนังชนิด Dermatofibrosarcoma protuberans (DFSP)
1.3 เพิ่มข้อบ่งชี้ในการเบิกจ่ายค่ายา Trastuzumab ในการรักษาโรคมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลามหรือแพร่กระจาย
2. กำหนดอัตราเบิกจ่ายค่ายา Imatinib และ Trastuzumab สำหรับการรักษาทุกข้อบ่งชี้ โดยให้เบิกจ่ายค่ายาได้ไม่เกินอัตราที่กำหนด ดังนี้
2.1 ยา Imatinib ความแรง 100 มิลลิกรัม และ 400 มิลลิกรัม อัตรา 160 บาทต่อเม็ด และ 610 บาทต่อเม็ด ตามลำดับ
2.2 ยา Trastuzumab ความแรง 150 มิลลิกรัม 440 มิลลิกรัม และ 600 มิลลิกรัม อัตรา 3,940 บาทต่อไวแอล 11,230 บาทต่อไวแอล และ 12,350 บาทต่อไวแอล ตามลำดับ
โดยหลักเกณฑ์ตามข้อ 1.1 จะมีผลใช้บังคับสำหรับค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป สำหรับหลักเกณฑ์ตามข้อ 1.2 1.3 และ 2 ให้มีผลใช้บังคับสำหรับค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป
“การปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการสามารถเข้าถึงการรักษาที่จำเป็นอย่างสมเหตุผล สอดคล้องกับวิวัฒนาการทางการแพทย์ และสภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับ ปัจจุบันยารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงหลายรายการมีทั้งยาต้นแบบ (original/originator) และยาสามัญ (generic) หรือยาชีววัตถุคล้ายคลึง (biosimilar) ซึ่งมีราคาแตกต่างกันมาก โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุนว่ายา generic หรือ biosimilar มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการรักษาพยาบาลเทียบเท่าหรือไม่ด้อยกว่ายา original/originator
ดังนั้น การกำหนดอัตราเบิกจ่ายค่ายาจะช่วยให้รัฐสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาบางส่วนได้ โดยไม่ทำให้คุณภาพการรักษาพยาบาลลดลง ผู้ป่วยจะยังคงได้รับยาที่มีคุณภาพในการรักษาและมีความปลอดภัยตามมาตรฐานการคัดเลือกยาของสถานพยาบาล และรัฐสามารถนำงบประมาณที่ประหยัดได้ไปใช้ในการเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่นที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยอาจจะต้องมีการร่วมจ่ายค่ายา หากมีความประสงค์จะเลือกใช้ยาที่มีราคาสูงกว่าอัตราที่กำหนด
ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองสวัสดิการรักษาพยาบาล กรมบัญชีกลาง หมายเลขโทรศัพท์ 02 127 7000 ต่อ 6850 หรือ 6851 ในวัน เวลาราชการ” หรือสืบค้นข้อมูลได้ที่เว็บไซต์กรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th หัวข้อ รักษาพยาบาล/ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาล/กฎหมายระเบียบและหนังสือเวียน (สวัสดิการรักษาพยาบาล)” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
สงวนลิขสิทธิ์ © 2557 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด